บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด

PTT-PTTEP ต่ำสุดในรอบ 3 ปี จังหวะนี้ควร Long หรือ Short

PTT-PTTEP ต่ำสุดในรอบ 3 ปี จังหวะนี้ควร Long หรือ Short

เผยแพร่เมื่อ วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2563


PTT และ PTTEP เป็นหุ้นที่มี Market Cap ขนาดใหญ่ และมีสัดส่วนราว 5% และ 2% เมื่อเทียบกับ SET ทำให้การเคลื่อนไหวของราคาหุ้น 2 ตัวนี้ ส่งผลต่อดัชนี SET ได้ง่ายกว่าหุ้นหลายๆตัวในตลาด...โดยวันจันทร์ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นอานุภาพของ PTT และ PTTEP ที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 20% ทั้งคู่ และเป็นตัวที่กดดัชนี SET มากที่สุดในวันดังกล่าว...อะไรที่ทำให้ราคาหุ้นทั้ง 2 ลงมาหนักขนาดนี้

เหตุเกิดจาก ราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRENT ที่ร่วงหนัก หลังจากการประชุม OPEC และ Non-OPEC ในสัปดาห์ก่อนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบได้ ทำให้เกิดความกังวลว่าปริมาณน้ำมันดิบจะล้นตลาด สวนทางปริมาณความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้มีแนวโน้มที่อุปทานจะมากกว่าอุปสงค์ ส่งผลราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงมากกว่า 30% ตั้งแต่วันศุกร์จนถึงวันจันทร์ที่ผ่านมา

 

สรุปการประชุม OPEC และ Non-OPEC ในวันที่ 5-6 มี.ค. ที่ผ่านมา

1. ก่อนการประชุมจะเกิดขึ้น ที่ประชุมกลุ่ม OPEC ได้บรรลุข้อตกลงเพื่อที่จะนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ ให้ลดกำลังการผลิตน้ำมันลงทั้งกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ราว 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อพยุงราคาน้ำมันดิบที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและไวรัสโควิด-19 ทั้งนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าทั้ง OPEC และ Non-OPEC จะสามารถบรรลุข้อตกลงดังกล่าวได้

2. แต่เรื่องกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะ “รัสเซีย” ซึ่งเป็นรายใหญ่ของกลุ่ม Non-OPEC ปฏิเสธการลดกำลังการผลิต โดยให้เหตุผลหลักๆ เรื่องส่วนแบ่งการตลาดด้านปริมาณการผลิตน้ำมันของโลกในปัจจุบัน มีสหรัฐฯเป็นผู้ผลิตมากที่สุด ราว 12.8 ล้านบาร์เรล/วัน รองลงมาคือรัสเซีย 11.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และซาอุดิอาระเบีย 9.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน หากกลุ่ม OPEC และ Non-OPEC ลดกำลังการผลิต จะทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลง และอาจจะไม่ได้ช่วยให้ราคาน้ำมันปรับตัวดีขึ้น เพราะทางสหรัฐฯก็ไม่ได้ลดกำลังการผลิตแต่อย่างใด

3. ฝั่งซาอุดิอาระเบีย หลังจากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ จึงมีประกาศ 2 อย่างที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบทันที

- ลดราคาขายน้ำมันดิบล่วงหน้าให้จีน ราว 6-7 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

- ตามมาด้วยการประกาศเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นไปอีก 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน

โดยการลดราคาขาย และเพิ่มอุปทานในตลาดให้มากขึ้น ขณะที่อุปสงค์ถูกกดดันจากไวรัสโควิด-19 ระบาดทั่วโลกไม่หยุด ธุรกิจหลายภาคส่วนต้องหยุดชะงัก อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีปัญหา กระทบต่อแนวโน้มการใช้น้ำมันลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทั้ง WTI และ Brent ปรับตัวลดลงมากกว่า 30% นับตั้งแต่วันศุกร์ที่ 6 ต่อเนื่องมาถึงจันทร์ 9 มี.ค.

เมื่อราคาน้ำมันลดลง ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานที่เกี่ยวกับน้ำมันปรับตัวลงหนัก กดดันให้ดัชนี SET ลดลงมา 108 จุด หรือ -7.96% ในวันจันทร์ที่ผ่านมา นำโดย PTT และ PTTEP ที่ปรับตัวลง 25% และ 29.80% (ติดฟลอร์) ตามลำดับ นอกจากนี้ยังส่ง Sentiment เชิงลบต่อบรรยากาศการลงทุนตลอดทั้งวันจันทร์เลยทีเดียว

 

แล้วเราจะทำยังไงต่อไปกับ PTT และ PTTEP ?

ผลการประชุมที่เกิดขึ้นแม้จะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในระยะสั้น แต่การที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดหนัก มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันและราคาน้ำมันตลอดครึ่งปี 2563 (หรืออาจจะนานกว่านั้น) สิ่งที่เราต้องติดตามต่อจากนี้คือ ผลประกอบการและกำไรสุทธิของ PTT และ PTTEP ที่มีแนวโน้มลดลงโดยผลกระทบจาก 2 ประเด็นดังกล่าว และมีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น

แต่สำหรับนักลงทุนที่ต้องการซื้อและถือระยะยาว การที่หุ้น PTT และ PTTEP ลงมาแรง ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างนึง เพราะตัวธุรกิจมีพื้นฐานดี ผลิตภัณฑ์หลักอย่างน้ำมันยังมีความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆอีกระยะนึงจนกว่าจะมีสิ่งอื่นมาทดแทน เช่น อุตสาหกรรมการผลิตที่ต้องใช้น้ำมันในการดำเนินงาน หรืออุตสาหกรรมการเดินเรือ-เครื่องบิน เป็นต้น จึงทำให้หุ้นทั้ง 2 เริ่มน่าสนใจในการเข้าสะสมหุ้น

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างนึงก็คือ การที่ราคาลงมาแรง ทำให้ P/E Ratio ลดลง และ Dividend Yield สูงขึ้น ดังนี้

การที่ P/E Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไรลดลงเป็นสัญญาณอย่างนึงที่บอกว่าราคาหุ้นไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับในอดีต และหากเทียบกับ P/E Ratio ของหมวดอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 12.87 เท่า ถือว่าทั้ง PTT และ PTTEP มี P/E Ratio ต่ำกว่า

ส่วน Dividend Yield หรืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่เพิ่มขึ้นเป็นข้อได้เปรียบสำหรับคนที่ต้องการถือเพื่อรับเงินปันผล อธิบายง่ายๆว่าถ้าคุณซื้อหุ้นวันนี้ จะได้หุ้นในปริมาณมากขึ้น (เนื่องจากราคาถูกลง) เมื่อมีการจ่ายปันผลก็จะได้จำนวนเงินปันผลที่มากขึ้น.....ดังนั้น การที่ P/E Ratio ลดลงและ Yield เพิ่มขึ้น จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่า PTT และ PTTEP น่าสนใจมากหากท่านต้องการซื้อและถือยาว

 

สำหรับท่านที่ซื้อขาย Single Stock Futures ของ PTT และ PTTEP การปรับตัวลงมาแรงเปิด gap กว้างกว่า 20% เรามี 2 คำแนะนำ ดังนี้

1. ทั้ง PTT และ PTTEP มีแนวโน้มขาลง การเทรดในฝั่ง Short ได้เปรียบกว่าฝั่ง Long แต่การเปิด Gap กว้างต้องชะลอการตัดสินใจ แล้วรอจังหวะรีบาวนด์แล้วเข้า Short จะปลอดภัยกว่า

2. ติดตามปัจจัยสำคัญที่สุด คือ สงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย เพราะมีผลต่อราคาน้ำมันและกระทบราคาของ PTT และ PTTEP เต็มๆ ทั้งนี้ ความชัดเจนในแง่กำลังการผลิตจะเป็นอย่างไร คือสิ่งที่นักลงทุนจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด หากความชัดเจนออกมาในแง่ดีราคาหุ้นทั้ง 2 ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าสงครามราคาน้ำมันยังยืดเยื้อ ราคาหุ้นทั้ง 2 ก็มีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่อ

 

เปิดบัญชี TFEX
รับสิทธิพิเศษทันที !!
Array
(
)
		
Array
(
    [sesCAFXXSLAT] => 1711698124
    [CAFXSI18NX] => th
    [_csrf] => 3c0c2c37521463a34a4e5b4f5bb7e9ee
    [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/the-lowest-in-3-years-this-rhythm-should-be-long-or-short.html
)
		
Array
(
    [content] => the-lowest-in-3-years-this-rhythm-should-be-long-or-short
)
		
Array
(
)