ตลาดหุ้นทั่วโลกรับ FED เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

---

เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2565

---

เริ่มที่ Dow Jones ปิด 32,813.23 จุด ลดลง 176.89 จุด(-0.54%) รับนักลงทุนกังวลการใช้มาตรการปรับลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED)โดยลดขนาดงบดุลในวงเงิน 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน ซึ่งจะปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ MBS วงเงิน 1.75 หมื่นล้านดอลลาร์ครบอายุในแต่ละเดือนโดยไม่มีการซื้อเพิ่มเติม และหลังจากนั้น 3 เดือน FED จะเพิ่มการลดขนาดงบดุลเป็น 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน จะปล่อยให้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ และตราสารหนี้ MBS วงเงิน 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์ครบอายุในแต่ละเดือนโดยไม่มีการซื้อเพิ่มเติม

การลดขนาดงบดุล QT และนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ที่ตั้งเป้าหมายที่ 3% สร้างความเสี่ยงกดการขยายตัวของสหรัฐฯ เพราะ QT ทำให้เงินในระบบการเงินลดลง จะลดอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯในส่วน Demand-Pull Inflation ได้จริง แต่การขึ้นดอกเบี้ยทำให้ต้นทุนพุ่งสูงประกอบกับราคาวัตถุดิบสูงอย่าง ข้าวเปลือก ,น้ำตาลทราย ,ข้าวโพด ,และข้าวสาลี นับตั้งแต่เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน เพราะยูเครนมีพื้นที่การเกษตรมากถึง 70% ส่งให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก Cost - Push Inflation 

และแนวโน้มราคาวัตถุดิบสูงมีโอกาสเพิ่มขึ้น เนื่องจากนานาประเทศเริ่มระงับการส่งออกสินค้าทางการเกษตรเพื่อกดราคาให้ประเทศให้ต่ำ แต่สร้างภาระให้ทั่วโลกเพราะราคาสินค้าเหล่านั้นแพงขึ้น 

เรากำลังจะบอกว่าที่ FED ทำคือ การขึ้นดอกเบี้ยและ QT อาจไม่ตรงจุด เปรียบเหมือนกับเรากำลังคันหลังด้านซ้าย แต่ดันไปเกาหลังด้านขวา แรกก็ดีแต่หากเกานานๆไปอาจเกิดอาการถลอก ทำให้หลังด้านซ้ายก็ยังคัน ส่วนหลังด้านขวาก็เจ็บ และไม่เป็นผลดีต่อเราเลย

หากเริ่มเห็น GDP สหรัฐฯชะลอตัวผลกระทบที่ตามมาคือ ตลาดหุ้นทั่วโลกในเชิงลง เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัวลดลง กดให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนส่วนราคาทองคำมีโอกาสปรับขึ้น และค่าเงินบาทต่อดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่า