เผยแพร่เมื่อ วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563
สิ้นสุดการรอคอยอย่างเป็นทางการสำหรับมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ หลังจากที่มีการเสนอญัตติเข้าที่ประชุมตั้งแต่สัปดาห์ก่อนแต่ยังไม่ได้ข้อสรุป จนมาถึงการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 63 ที่ผ่านมา มติที่ประชุมเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็น 3 แพ็คเกจ ได้แก่
สำหรับวิธีลงทะเบียนรับสิทธิแพ็คเกจการท่องเที่ยว คาดว่าจะคล้ายกับ “ชิมช็อปใช้” โดยเป็นการรับสิทธิผ่านเว็บไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น ซึ่งต้องรอการยืนยันเกี่ยวกับขั้นตอนการลงทะเบียนรับสิทธิอีกครั้งนึง ... นอกจากนี้ ยังมีการเปิดเผยเพิ่มเติมถึงมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านการให้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย ซึ่ง ครม. จะอัปเดตให้ประชาชนทราบในลำดับถัดไป
ประเด็นดังกล่าวส่งผลบวกต่อหุ้นและ Single Stock Futures กลุ่มการท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มโรงแรม เนื่องจากแพ็คเกจที่ออกมา เน้นการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ส่วนกลุ่มการบินแม้จะได้รับปัจจัยบวกจากประเด็นนี้ แต่ยังต้องลุ้นกับการประชุมของการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เพื่อเตรียมพร้อมการเปิดเส้นทางการบินระหว่างประเทศ และมาตรการ “ทราเวล บับเบิล (Travel Bubble)*” ที่ ครม. จะค่อยๆอัปเดตให้เราทราบ เนื่องจากมีขั้นตอนค่อนข้างเยอะพอสมควร
*ทราเวล บับเบิล (Travel Bubble) คือ การจับคู่ด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศที่มีความมั่นใจในความปลอดภัยของโรค COVID-19 โดยจะมีการตกลงกันระหว่างรัฐบาลของแต่ละประเทศในการให้สิทธิพิเศษของการเดินทางเข้าออกระหว่างกันได้โดยไม่ต้องมีการกักตัว 14 วัน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขมาตรการป้องกัน COVID-19 อย่างเข้มข้น
CENTEL, ERW และ MINT ใครได้ประโยชน์มากที่สุดจาก 3 แพ็คเกจการท่องเที่ยว
เบื้องต้นเราจะวิเคราะห์จากสัดส่วนรายได้ทั้ง 3 บริษัทว่าใครมีขนาดของรายได้จากกิจการโรงแรม และสัดส่วนรายได้จากกิจการโรงแรมในประเทศไทยมากที่สุด ตามแบบรายงาน 56-1 ประจำปี 2562 ได้ข้อสรุป ดังนี้ (ดูภาพประกอบเพิ่มเติมด้านล่าง)
เริ่มกันที่ CENTEL มีรายได้จากกิจการโรงแรมปี 2562 อยู่ที่ 8,895 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 42% ส่วนใหญ่เป็นการบริการโรงแรมในประเทศไทย รายได้อีกส่วนของ CENTEL จำนวน 12,294 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 58% เป็นการให้บริการด้านอาหารแบรนด์ต่างๆ ได้แก่ KFC, Mister Donut และแบรนด์ดังอื่นๆมากมาย
ต่อกันที่ ERW มีรายได้จากกิจการโรงแรมในปี 2562 จำนวน 6,146 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 95% และมากกว่า 50% เป็นการบริหารกิจการโรงแรมในประเทศไทย ส่วนรายได้จำนวน 292 ล้านบาทหรืออีก 5% ที่เหลือ เป็นรายได้จากการให้เช่าพื้นที่อาคารเอราวัณ แบงค็อก และรายได้ค่าบริหารอาคารเพลินจิต เซนเตอร์
สุดท้าย MINT มีรายได้จากกิจการที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมมากที่สุดถึง 91,439 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้ทั้งหมดที่ 70% แต่รายได้จากกิจการโรงแรมกว่า 60% เป็นการให้บริการและบริหารโรงแรมในต่างประเทศ โดยเฉพาะในยุโรปและสหรัฐฯ และมีเพียง 14% เท่านั้นที่เป็นรายได้จากกิจการโรงแรมในประเทศไทย
จากการวิเคราะห์ที่เรากล่าวมาทั้งหมด ได้ข้อสรุปในเบื้องต้นว่า หุ้นหรือ Single Stock Futures ที่ได้รับประโยชน์จากแพ็คเกจกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ คือ CENTEL เพราะมีขนาดของรายได้จากกิจการโรงแรมในประเทศมากที่สุด และ ERW ที่มีสัดส่วนรายได้จากกิจการโรงแรมในประเทศมากถึง 95% ส่วน MINT ยังต้องลุ้นกับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์และสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในต่างประเทศ หากมีแนวโน้มดีขึ้น จะทำให้ MINT ได้รับปัจจัยบวกตามมา
หากใครกำลังสนใจหุ้น หรือ Single Stock Futures ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวและโรงแรม เบื้องต้นสามารถเทรดในฝั่งซื้อ (Long) ตาม Sentiment บวกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ แต่ต้องไม่ลืมการหาจังหวะเข้า-ออกด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีวินัยและกำหนด Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุนของพอร์ตลงทุนด้วย เพราะช่วงนี้ความผันผวนของตลาดอยู่ใกล้ตัวคุณตลอดเวลานั่นเองครับ
Array ( )
Array ( [sesCAFXXSLAT] => 1714700332 [CAFXSI18NX] => th [_csrf] => 69a67f1d72b22b4c9bfebca233c5f9e3 [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/positive-factors-from-travel-packages.html )
Array ( [content] => positive-factors-from-travel-packages )
Array ( )