เผยแพร่เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 พ.ค.62 โดยคณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ เพื่อรอประเมินผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ
มองเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้เนื่องจาก
- การส่งออกสินค้าขยายตัวชะลอลงมากกว่าคาดตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผลของมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน
- ด้านการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง เนื่องจากนักลงทุนส่วนหนึ่งรอประเมินความชัดเจนของแนวนโยบายหลังการจัดตั้งรัฐบาลและความต่อเนื่องของโครงการลงทุนภาครัฐ
- สำหรับการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ส่วนหนึ่งจากความล่าช้าของโครงการลงทุนภาครัฐ
- ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องแต่ยังได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมถึงการจ้างงานที่มีสัญญาณชะลอลงในภาคก่อสร้างและภาคการผลิต
5 ความเสี่ยงที่คณะกรรมการฯจับตา
1.มาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจกลับมารุนแรงขึ้้นจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและการส่งออกสินค้าของไทย รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักและจีนที่อาจส่งผลมาสู่อุปสงค์ในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้าน
- เศรษฐกิจและการค้าโลกจะชะลอตัวลงและส่งผลต่อไทยผ่านการส่งออก การท่องเที่ยว และการลงทุน
- ด้านการค้า (trade diversion) โดยสินค้าไทยที่ส่งไปประกอบในจีนและเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่ส่งออกต่อไปยังตลาดสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบ แต่ขณะเดียวกันสินค้าที่ได้รับประโยชน์จะเป็นกลุ่มที่สามารถส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากจีน (substitution effect) และ
- ด้านการลงทุน (investment diversion) ซึ่งผู้ประกอบการอาจย้ายฐานการผลิตมายังอาเซียนและไทย ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่ามาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นความเสี่ยงที่สำคัญและยังมีความไม่แน่นอนสูง จึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและวิเคราะห์ผลกระทบเชิงลึกมากขึ้น
2.ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและอาจมีผลต่อเนื่องไปยังการลงทุนภาคเอกชน คณะกรรมการฯ ประเมินว่าความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่สูงขึ้นมีนัยต่อแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยตรงผ่านการใช้จ่ายภาครัฐในระยะถัดไป และส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการบริโภคภาคเอกชนและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
3.ความเสี่ยงจากสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจทวีความรุนแรงและขยายพื้นที่มากขึ้นอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของเกษตรกรและความยั่งยืนของการบริโภคภาคเอกชนในระยะต่อไป
4.การจ้างงานในภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกที่อาจชะลอลงและส่งผลต่อรายได้โดยรวม ซึ่งอาจกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนมากกว่าคาด
5.ระบบการเงินยังมีความเสี่ยงในบางจุดที่อาจสร้างความเปราะบางให้กับเสถียรภาพของระบบการเงินในอนาคต อาทิ
- การก่อหนี้ของภาคครัวเรือนที่ปรับสูงขึ้นโดยเฉพาะสินเชื่อในหมวดรถยนต์ ทั้งสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์และสินเชื่อรถแลกเงิน ขณะที่ NPL ในหมวดสินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อที่ผ่อนคลายในช่วงก่อนหน้าจากการแข่งขันที่สูงขึ้นภายหลังผู้ให้บริการที่มิใช่สถาบันการเงิน (non-bank) มีบทบาทมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของธุรกิจ SME ที่มีแนวโน้มด้อยลง
- พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งอาจนำไปสู่ การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบสหกรณ์ออมทรัพย์และการก่อหนี้ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่
- ความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะอุปทานคงค้างในบางพื้นที่
คณะกรรมการฯ เห็นว่ามาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่ดำเนินการไปในช่วงก่อนหน้าช่วยลดความเปราะบางในระบบการเงินได้ในระดับหนึ่ง
สรุปรายงานการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 8 พ.ค.
- คงดอกเบี้ยที่ 1.75% และคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจต่ำกว่าที่คาด
- ทั้งนี้คณะกรรมการฯจับตา 5 ความเสี่ยง คือ สงครามการค้า , ความไม่แน่นอนทางการเมือง , ภัยแล้ง , การจ้างงานที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกมีแนวโน้มลดลง , การก่อหนี้ของภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น
แหล่งข้อมูล:อินโฟเควสท์
เปิดบัญชี TFEX
รับสิทธิพิเศษทันที !!