บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด

ทองคำเดือน มิถุนายน 65 ไปต่อ หรือ ลงต่อ

ทองคำเดือน มิถุนายน 65 ไปต่อ หรือ ลงต่อ

เผยแพร่เมื่อ วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2565


หลังจากราคาทองคำเดือน พฤษภาคม เจอปัจจัยเข้าชนมากมายได้แก่ 1.อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯแตะระดับ 8.26% ยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากราคาพลังงานพุ่ง 30% และราคาอาหารขึ้นแตะ 9.4% ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน ดันราคาทองคำขึ้น 2.การประชุม FOMC จากอัตราเงินเฟ้อที่แตะ 8.26% ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย 0.5% พร้อมทำ Quantitative tightening(QT) คือ นโยบายดึงสภาพคล่องออกจากระบบเศรษฐกิจโดยการปล่อยให้พันธบัตรที่ FED ถือครบอายุ และส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ถึง 3% ส่งค่าเงินดอลลาร์แข็งและกดราคาทองคำ  3.อัตราการว่างงานสหรัฐฯที่เพิ่มขึ้นแตะ 3.6% ซึ่งสร้างความกังวลแก่นักลงทุน เพราะมีความเสี่ยงเกิด Stagflation เนื่องจากการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯที่เร็ว ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯมีโอกาสชะลอตัว ประกอบกับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ส่งผลต่อราคาทองคำบวก 4.นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ส่งสัญญาณพิจารณาลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีน เพราะไบเดนกำลังหาทางลดราคาวัตถุดิบ เนื่องจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 สร้างขึ้นมีมูลค่ามากถึง 360,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ราคาวัตถุดิบของสหรัฐฯทั่วเพิ่มขึ้น หากไบเดนหาทางลด Cost - Push Inflation หากทำได้จะลดโอกาสเกิด Stagflation ซึ่งเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ จากปัจจัยทั้ง 4 อย่างในเดือนพฤษภาคมกระทบราคาทองคำทำให้ผันผวนอย่างมาก

มุมมองทองคำเดือนมิถุนายน 2565

Gold Spot แนวโน้ม Sideway Down กรอบการลงทุน 1,780 – 1,935 เหรียญ

และปัจจัยที่นักลงทุนทองคำต้องจับตาในเดือนมิถุนายนมีทั้งหมด 5 ประเด็น

1.การประชุม FOMC ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 และเป็นที่จับตา เนื่องจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ(FED) ได้ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นในสิ้นปีนี้อาจพบว่า ดอกเบี้ยของสหรัฐฯอาจแตะ 3% เพราะอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯตั้งแต่ มีนาคม ปี 2564 เริ่มเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.62% ทะลุ Trend Line และขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันเดือน เมษายน ปี 2565 แตะระดับ 8.26%

แล้วเงินเฟ้อมีผลกระทบในเชิงไหนบ้าง

  • ประชาชน จะต้องจ่ายเงินในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น อธิบายง่ายๆว่าราคาของแพงขึ้นนั่นเอง แต่ที่ตลกค่าจ้างประชาชนไม่ค่อยขึ้น
  • บริษัทที่ขายสินค้าและบริการ มีความเสี่ยงที่ยอดขายลดลง จากสินค้าที่ราคาแพงขึ้น และสุดท้ายอาจต้องทำให้ลดขนาดกิจการและลดพนักงานเพื่อคุมต้นทุน
  • ระบบเศรษฐกิจที่ทำให้ FED ต้องกังวล ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อ GDP ในมุมของการบริโภค และการลงทุนภาคเอกชน

2.โจ ไบเดน หาทางลดเงินเฟ้อสหรัฐฯ

นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 46 ส่งสัญญาณพิจารณาลดภาษีการนำเข้าสินค้าจากจีน เพราะไบเดนกำลังหาทางลดราคาวัตถุดิบ เนื่องจากกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนที่ 45 สร้างขึ้นมีมูลค่ามากถึง 360,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ราคาวัตถุดิบทั่วโลกเพิ่มขึ้น ประกอบกับเจอโควิด-19 ทำให้เกิดปัญหาใหม่อย่าง ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดดอกเบี้ย พร้อมทำ QE และต่อมาเกิดสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ดันราคาสินค้าเกษตร และพลังงานเพิ่มขึ้น

ขออธิบายเงินเฟ้อเกิดจาก 2 ทาง

- เงินเฟ้อเกิดจาก ต้นทุนสินค้า หรือ เงินเฟ้อด้านอุปทาน (Cost - Push Inflation) มาจากต้นทุนการผลิตสินค้า

- เงินเฟ้อ ด้านอุปสงค์ (Demand-Pull Inflation) มาจากความต้องการใช้จ่าย

โดยกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน เพิ่ม Cost - Push Inflation และช่วงเกิดโควิด-19 ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศลดดอกเบี้ย พร้อมทำ QE เพิ่ม Demand-Pull Inflation สูงให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯสูง

ปัจจุบันธนาคารกลางสหรัฐฯได้เริ่มลด Demand-Pull Inflation เพราะยุติ QE พร้อมขึ้นดอกเบี้ยแตะ 1-1.25% และไบเดนหาทางลด Cost - Push Inflation หากทำได้จะลดโอกาสเกิด Stagflation 

ทั้งนี้นักลงทุนต้องติดตามอัตราเงินเฟ้อ ,GDP ,และอัตราการว่างงานสหรัฐฯ เพราะการเข้าเงื่อนไข Stagflation คือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น รวมถึง GDP ขยายตัวลดลงหรือหดตัว

แต่การลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนางแคทเธอรีน ไท ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ สนับสนุนให้สหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนต่อไป เพื่อปกป้องการจ้างงานของสหรัฐฯและรับมือกับพฤติกรรมของจีนในตลาดโลก

ประเด็นสหรัฐฯที่ยังหาข้อสรุปเกี่ยวกับการลดภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไม่ได้ กระทบต่อการแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐฯ เพราะไม่สามารถแก้ Cost - Push Inflation ที่เกิดจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น วิเคราะห์ว่าอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มในระดับสูงที่ 8% เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ ในมุมมองที่กำไรของบริษัทค้าปลีกลดลง เนื่องจากต้นทุนสินค้าเพิ่ม ดันราคาสินค้าสูง กระทบการบริโภค และการจ้างงานจะลดลงจากการลดต้นทุน รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัว แต่หากสหรัฐฯสามารถให้ลดกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน จะกดเงินเฟ้อลง และกดราคาทองคำ

3.สงครามรัสเซีย-ยูเครน

อย่างที่นักลงทุนทราบว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้การค้าของอาหารและพลังงานได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากทั้งรัสเซียและยูเครนเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างข้าวสาลี ,ข้าวโพด ,ข้าวบาร์เลย์ ,เมล็ดทานตะวัน ,และน้ำมันดอกทานตะวัน ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังแอฟริกาเหนือ ,ตะวันออกกลาง ,ยุโรป ,และจีน  ทำให้ราคาอาหารและพลังงานเพิ่มจากการขาดแคลน

ทั้งนี้ภาวะช็อกจากราคาพลังงานและอาหารจะกระทบต่อการค้าโลก ลดมูลค่าการส่งออกโดยลง 1% โดยการส่งออกในประเทศกำลังพัฒนาจะลดลง 1.06% และการส่งออกในประเทศพัฒนาแล้วลดลง 1% 

หากถามว่า สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะจบเมื่อไร เราขอตอบจากบทสัมภาษณ์ของ นายพลคีรีโล บูดานอฟ หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของยูเครนกล่าวในวันที่ 14 พ.ค. ว่า “การสู้รบส่วนใหญ่จะยุติภายในสิ้นปีนี้ และในที่สุดก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนผู้นำของสหพันธรัฐรัสเซีย” แสดงว่าสงครามยังดำเนินต่อไปในเดือน มิถุนายน 2565 และทำให้ราคาอาหารและพลังงานอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้อัตราเงินเฟ้อ(Cost - Push Inflation)ทั่วโลกพุ่งสูง ทองคำบวกรับเงินเฟ้อ

4.การประชุม ECB ในวันที่ 9 มิถุนายน 2565

โดยนายปาโบล เอร์นันเดซ เดอ โคส ผู้ว่าการธนาคารกลางสเปนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมเดือนมิถุนายน และยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง Asset Purchase Programme (APP) ในเดือน กรกฎาคม เนื่องจากสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่มีการใช้เงินสกุลยูโร และป้องกันไม่ให้ระดับราคาสินค้าสูงขึ้นเรื่อย ๆ 

หากช่วงที่ ECB ยังไม่ยุติมาตรการกระตุ้นและไม่ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ค่าเงินยูโรอ่อนค่า ส่งค่าเงินดอลลาร์แข็ง นับเป็นปัจจัยลบต่อราคาทองคำ แต่หาก ECB เริ่มยุติมาตรการกระตุ้นและขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินยูโรจะแข็งขึ้น และกดดันค่าเงินดอลลาร์อ่อน มีโอกาสที่ราคาทองคำจะปรับขึ้น

5.การประชุม BOE ในวันที่ 16 มิถุนายน 2565

โดยอัตราเงินเฟ้อสหราชอาณาจักรแตะ 9% สูงสุดในรอบ 40 ปี ในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมาเป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องจารึกในประวัติศาสตร์ของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร เพราะ ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)เดือน เม.ย. แตะ 9% และเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 40 ปี เนื่องจากราคาพลังงานและราคาอาหารปรับขึ้น สร้างปัญหาให้สหราชอาณาจักรทำให้ค่าครองชีพสูง

จากอัตราเงินเฟ้อสหราชอาณาจักรแตะ 9% ทำให้ปอนด์อ่อนค่า ส่งค่าเงินดอลลาร์แข็ง ปัจจัยที่ต้องจับตา การประชุม BOE วันที่ 16 มิถุนายน 65 เพราะ BOE พยายามขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกดอัตราเงินเฟ้อ โดยเป้าหมายเงินเฟ้อที่ BOE มองไว้ที่ 2% ทำให้การประชุมรอบนี้อาจเห็นการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% หากการขึ้นดอกเบี้ยแรงๆจะส่งค่าเงินปอนด์แข็ง และกดดอลลาร์อ่อน แล้วทองคำมีโอกาสรีบาวด์

นักลงทุนคงได้ทราบกันแล้วว่า 5 ปัจจัยที่นักลงทุนทองคำต้องเจอมีอะไรบ้าง และแนวโน้มราคาทองคำมีทรงเป็น Sideway Down เรากำลังสื่อว่า ราคาทองคำในเดือนมิถุนายนมีโอกาสรีบาวด์แล้วลงต่อ โดยแนวต้านสำคัญ คือ 1,935 เหรียญ

 

เปิดบัญชี TFEX
รับสิทธิพิเศษทันที !!

บทความที่เกี่ยวข้อง

Array
(
)
		
Array
(
    [sesCAFXXSLAT] => 1715560452
    [CAFXSI18NX] => th
    [_csrf] => 3455fcb002c42ccb52dacfdd75051394
    [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/analyze-gold-3-2022.html
)
		
Array
(
    [content] => analyze-gold-3-2022
)
		
Array
(
)