บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน คลาสสิก ออสสิริส จำกัด

MAJOR คาดสัญญาณบวกกลับมาใน Q2-Q3/64

MAJOR คาดสัญญาณบวกกลับมาใน Q2-Q3/64

เผยแพร่เมื่อ วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564


ปี 2563 การแพร่ระบาดของโควิด-19 รุนแรงและลากยาวตลอดทั้งปี ส่งผลกระทบถึงผู้ประกอบการเกือบทุกภาคส่วน ได้แก่ ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว และธุรกิจให้บริการที่ต้องพึ่งพากำลังซื้อของผู้บริโภค แถมบางธุรกิจยังได้รับผลกระทบจากการ Lockdown ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงักไปช่วงนึงของปี 63
MAJOR หรือ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563 เช่นกัน เนื่องจากต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการระบาดอย่างการ Lockdown เป็นเวลากว่า 2 เดือนใน Q2/63 และถึงแม้ว่ากลับมาเปิดได้ตามปกติ แต่ด้วยจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมที่ลดลงจากมาตรการรักษา
ระยะห่าง (Social Distancing) บวกกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่อง ประกาศเลื่อนการฉายออกไป ทำให้ตัวเลขผลการดำเนินงานของ MAJOR ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

จากภาพ MAJOR มีรายได้จากการขายและบริการปี 63 รวมทุกไตรมาสอยู่ที่ 3,765 ล้านบาท ลดลงจากปี 62ที่มีจำนวน 10,696 ล้านบาท จากผลกระทบของโควิด-19 นำไปสู่มาตรการ Lockdown ทำให้ต้องหยุดดำเนินการทุกสาขาในช่วง Q2/63 ในขณะที่รายได้ลดลงแต่บริษัทยังต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินงาน ส่งผลให้ MAJOR ขาดทุนสุทธิจำนวน 527 ล้านบาท จากที่มีกำไรสุทธิ 1,170 ล้านบาทในปี 62

นอกจากนี้ การดำเนินงานยังได้รับผลกระทบจากการลดจำนวนที่นั่งสำหรับผู้ชมภาพยนตร์ หลังจากกลับมาเปิดฉายในวันที่ 1 มิ.ย. 63 บวกกับการที่ภาพยนตร์หลายเรื่องประกาศเลื่อนฉาย โดยมีเพียงภาพยนตร์เรื่อง TENET ที่เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ และเข้าฉายในช่วง Q3 ทำให้บริษัทขาดทุนลดลง และกลับมาตั้งหลักได้ใน Q4/63 ซึ่งมีรายได้และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับ Q2 และ Q3 นั่นคือสัญญาณการฟื้นตัวในระยะแรก

ส่วนภาพยนตร์ที่ถูกเลื่อนฉายจากปี 63 เข้ามาฉายในปี 64 ก็มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มากมาย เช่น Godzilla vs Kong ที่มีกระแสตอบรับดีทั้งด้านรายได้ และคำวิจารณ์ (Rotten Tomatoes ที่ 79%และ IMDB 7.5/10 ณ วันที่ 29 มี.ค. 64) และที่กำลังจะเข้าฉายใน Q2-Q3/64 ได้แก่ Fast & Furious 9, Top Gun: Maverick, Black Widow, Luca และ 007: No Time to Die ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้ให้กับ Major ได้เป็นอย่างดีในปีนี้

จากข้อมูลผลประกอบการที่เริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ Q4/63 ไปจนถึงภาพยนตร์หลายเรื่องที่ถูกเลื่อนฉายเข้ามาในปี 64 นี้ ทำให้เรามีมุมมองบวกต่อ MAJOR โดยคาดว่าราคาหุ้นมีโอกาสกลับไปซื้อขายในระดับราคาก่อนเกิดโควิด-19 ที่โซน 25-30 บาทได้

ปัจจัยบวกอีกประการก็คือ การกลับมาเปิดดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หลังจากผลกระทบของโควิด-19 เริ่มเบาลง บวกกับวัคซีนที่คาดว่าจะเริ่มกระจายสู่ประชาชนภายในปีนี้ มีโอกาสทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องลุ้นกับภาพรวมการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว และน่าจะเป็นความเสี่ยงด้าน Sentiment ที่สำคัญต่อหุ้น MAJOR เช่นกัน

ความน่าสนใจของหุ้นMAJORอีกข้อก็คือเป็นหุ้นที่จ่ายปันผลค่อนข้างสูง โดยมีอัตราผลตอบแทนจากปันผล (Dividend Yield) ในปี 62 และ 63 มากกว่า 5%แม้ว่าในปี 64 บริษัทจะงดจ่ายปันผล เพื่อการดำรงสภาพคล่องของบริษัท แต่เราคาดว่า MAJOR จะกลับมาจ่ายปันผลให้กับผู้ลงทุนได้อีกครั้ง หากผลการดำเนินงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรด้วย Single Stock Futures ของ MAJOR เรามีคำแนะนำให้จับตาแนวรับบริเวณ 21.50 บาท หากราคาร่วงต่ำกว่าจุดนี้ จะไม่แนะนำให้เข้าสถานะใดๆ แต่ถ้าราคาลงมาทดสอบแล้วยืนได้ สามารถเปิดสถานะ Long ใน MAJOR Futures ได้ โดยใช้ 21 บาทเป็นจุด Stop Loss

หมายเหตุ: ราคาหุ้น ณ วันที่ 29 มี.ค. 64

 

 

 

เปิดบัญชี TFEX
รับสิทธิพิเศษทันที !!

บทความที่เกี่ยวข้อง

Array
(
)
		
Array
(
    [sesCAFXXSLAT] => 1715519382
    [CAFXSI18NX] => th
    [_csrf] => 33d5c5b41a0633a0402e2000c07cd3c8
    [CAFXSFEREF] => https://www.caf.co.th/article/analyze-major-stock-2021.html
)
		
Array
(
    [content] => analyze-major-stock-2021
)
		
Array
(
)