การขึ้นดอกเบี้ยของไทย ที่ส่งค่าเงินบาทแข็งส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มไทย?

---

เผยแพร่เมื่อ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2565

---

หลังจากจบการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2565 โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ทันทีจากระดับ 0.50% ต่อปี เป็น 0.75% และอีก 1 เสียง ให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.5% ซึ่งเหตุผลที่คณะกรรมการนโยบายการเงินให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยได้แก่

1.เศรษฐกิจมีแนวโน้มพื้นตัวต่อเนื่อง และคาดว่าจะกลับเข้าสู่ระดับก่อนโควิด-19 ภายในสิ้นปี 65 ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวมีความชัดเจนขึ้นมีโอกาสที่จะปรับประมาณการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้เพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ปัจจุบันอยู่ที่ 3.3% แต่ปีหน้าภาพยังไม่มีเปลี่ยนแปลง โดยจะมีการอัพเดตข้อมูลในการประชุมครั้งหน้าวันที่ 28 กันยายน 2565

2.ตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้น โดยอัตราผู้ว่างงานปรับดีขึ้น และรายได้เฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นในทุกระดับทั้งรายได้ต่ำ ปานกลาง และสูง

3.กนง.มองแนวโน้มเงินเฟ้อในอนาคตที่มาจากปัจจัยพื้นฐาน โดยมีการจับตาใกล้ชิดโดยเฉพาะเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 3% ถือว่าอยู่ระดับสูง ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะข้างหน้า โดยระยะ 1 ปี ปรับสูงขึ้นตามข้อมูลจริงที่เกิดขึ้น แต่หากดูระยะ 5-10 ปี ยังถือว่าอยู่ในกรอบคาดการณ์ 

4.ดอกเบี้ยต่ำพอสมควร และอัตราเงินเฟ้อสูง ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Rate) ค่อนข้างต่ำ ทำให้นโยบายการเงินผ่อนคลายเกินไปอาจกระทบต่อเสถียรภาพการเงินในอนาคตได้

จาก 4 ข้อดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสภาพเศรษฐกิจไทยที่สามารถรับการขึ้นดอกเบี้ย และแนวโน้มการขึ้นคงต้องขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งประชุมครั้งหน้าวันที่ 28 ก.ย. 65 จะขึ้นดอกเบี้ยเท่าไรนั้น จะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา และครั้งนี้ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ แต่ครั้งหน้าหากยังเป็นไปตามที่ประเมินไว้ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเร่งปรับดอกเบี้ยขึ้นตามตลาดคาดการณ์ที่ 0.50% โดยการปรับขึ้นจะสอดคล้องกับบริบทไทย

ทั้งนี้การขึ้นดอกเบี้ยทำให้ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯแข็งค่าในรอบ 6 สัปเดาห์ ซึ่งคาดว่าหุ้นที่ได้ประโยชน์ คือ ธุรกิจที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะต้นทุนการผลิตลดลง และคาดว่าหุ้นที่เสียประโยชน์ ได้แก่ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ถุงมือยาง การแพทย์ ยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งเสียประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยน