ธปท. ไม่ต่อผ่อนปรนมาตรการ LTV กระทบหุ้นอสังหาฯ ตัวไหนมากที่สุด

---

เผยแพร่เมื่อ วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

---

ช่วงปี 2564 เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยืดเยื้อ และภาคอสังหาฯ อยู่ในภาวะซบเซา ธปท. จึงผ่อนปรนมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่ 20 ตุลาคม 2564 ถึง 31 ธันวาคม 2565 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคอสังหาฯ เพราะมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) เป็น 100% สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย กรณี มูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และกรณีที่มูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป แต่หลังจาก 31 ธันวาคม 2565 ธปท. เผยจะไม่ต่ออายุการผ่อนปรนมาตรการ LTV วันนี้เราจะมาหาหุ้นอสังหาฯ ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด หากไม่มีการผ่อนปรนมาตรการ LTV

ช่วงเริ่มต้น ที่ใช้มาตรการ LTV ปี 2562 หลังเริ่มได้เพียง 6 เดือน อัตราการขยายตัวของบัญชีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ลดลง อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะปริมาณการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย อสังหาฯ แนวสูง(คอนโด, อพาร์ตเม้นต์) เพราะปกติจะมีการเก็งกำไรในตลาดคอนโด การที่ต้องวางเงินดาวน์อย่างน้อย 10% ของราคาอสังหาฯ หากทำสัญญากู้ตั้งแต่หลังที่ 2 ขึ้นไป หรือตั้งแต่หลังที่ 1 ขึ้นไปในกรณีที่ราคามากกว่า 10 ล้านบาท จึงช่วยลดแรงเก็งกำไรในตลาดคอนโด ส่วนปริมาณขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย อสังหาฯ แนวราบ(บ้าน, ทาวน์เฮ้าส์) ได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัด

อสังหาฯ แนวสูงได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV เป็นอย่างมาก ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2562 โดยการกู้สัญญาที่ 1 ลดลง 1% สัญญาที่ 2 ลดลง 26.2%, และสัญญาที่ 3 ลดลง 40.5 หากหุ้นอสังหาฯ มีสัดส่วนรายได้อสังหาฯ แนวสูงมาก ย่อมได้รับผลกระทบเชิงลบมากเช่นกัน เราจึงรวบรวมสัดส่วนรายได้การขายอสังหาฯ แนวสูงต่อรายได้รวมของหุ้นอสังหาฯ มาสรุปเป็นกราฟเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลสัดส่วนอสังหาฯแนวสูงของหุ้นอสังหาฯทั้งหมด ORI มีสัดส่วนรายได้แนวสูงเยอะที่สุดถึง 61.52% จากปัจจัยที่ ธปท. ไม่ต่ออายุมาตรการผ่อนปรน LTV ในปี 2566 มีความเสี่ยงที่ ORI จะได้รับผลกระทบเชิงลบมากที่สุด